การเรียนโฟนิคส์

ประโยชน์และความสำคัญของการเรียน โฟนิคส์ (Phonics)

ในสมัยนี้การเรียนภาษาอังกฤษที่มักได้ยินกันบ่อยๆ ในหมู่เด็กๆ ก็คือการเรียนโฟนิคส์ ที่กำลังนิยมเรียนกันอย่างแพร่หลาย จนหลายท่านอาจสงสัยว่าการเรียนโฟนิคส์นั้นคืออะไร ทำไมสมัยเราเรียนหนังสือไม่เห็นเคยได้ยินหรือเคยรู้จักมาก่อน ทำไมสมัยนี้พูดถึงกันเยอะมาก วันนี้เราจะเล่าเรื่องการเรียนโฟนิคส์ให้ทราบกันคร่าวๆ ดังนี้

โฟนิคส์ (Phonics) คือวิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัสเสียงและการผสมเสียงตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว ซึ่งผู้เรียนจะต้องเข้าใจเสียงของตัวอักษรต่างๆ และออกเสียงให้ได้อย่างถูกต้องจึงจะสามารถผสมเสียงออกมาเป็นคำได้ ยกตัวอย่างเช่น การสะกดคำว่า bat ในสมัยเราๆ จะท่องกันว่า บี-เอ-ที แบท ค้างคาว ซึ่งยากที่จะเข้าใจว่าทำไม บี-เอ-ที ถึงกลายเป็นแบทไปได้ เพราะการท่องแบบนี้ไม่ได้ใช้หลักการผสมเสียงแต่เป็นการท่องจำการสะกดคำเสียมากกว่า

จากตัวอย่างนี้ ถ้าเรียนตามหลักโฟนิคส์ จะสอนให้รู้จักตัว “b” จากเสียงของมันคือเสียง “บ” (ออกเสียงเบอะ เบาๆ ในลำคอ) ตัว “a” เป็นเสียง “แอะ” และตัว “t” เป็นเสียง “ท” (ออกเสียง เทอะ เบาๆ โดยใช้ปลายลิ้นกระทบฟันหน้าบน) และผสมเสียงกันเป็น “บ-แอะ-ท แบท” (ลองออกเสียง บ-แอะ-ท ซ้ำๆ เร็วๆ จะพบว่าสุดท้ายจะออกเสียงเป็น “แบท”) หลักการถอดรหัสเสียง และผสมเสียงแบบนี้แหละที่เรียกว่าโฟนิคส์นั่นเอง ซึ่งผู้เรียนจะต้องฝึกผสมเสียงพยัญชนะ แลัสระต่างๆ ที่หลากหลายจนคล่องแคล่วโดยใช้หลักโฟนิคส์นี้

การเรียนโฟนิคส์

การเรียนโฟนิคส์จะช่วยให้เด็กๆ ออกเสียงได้ถูกต้อง ทำให้พวกเขาสื่อสารภาษาอังกฤษได้ชัดเจน จนสามารถอ่านเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถสะกดคำศัพท์ต่างๆ ได้ด้วยตัวเองอย่างคล่องแคล่วจากการรู้จักเสียงของตัวอักษรและเข้าใจหลักของการผสมเสียง แม้ในช่วงแรกการเรียนแบบโฟนิคส์จะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำมาก เพราะเด็กต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจเสียงและหลักการผสมคำจากง่ายไปยาก และต้องฝึกซ้ำๆ เพื่อให้จำได้ ซึ่งมีบทศึกษามากมายที่ยืนยันว่าเด็กที่เรียนการอ่านเขียนแบบนี้จะสามารถเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่าเด็กนักเรียนทั่วไป และยังมีความแตกฉานทางภาษา รักการอ่าน การค้นคว้าหาความรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับตัวเขาเองในอนาคต

แล้วเรียนโฟนิคส์จะสามารถนำมาใช้ทันกับหลักสูตรแบบดั้งเดิมของโรงเรียนทั่วไปหรือเปล่า การเรียนโฟนิคส์นั้น จะเรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงจะดูช้ากว่าการเรียนแบบท่องจำ เพราะเด็กๆ ไม่ว่าจะโตแค่ไหน เรียนระดับไหนก็ต้องมาเริ่มที่เสียง a b c … แล้วค่อยๆ หัดผสมเสียงจากง่ายก่อน ดังนั้นการจะคาดหวังให้ใช้หลักโฟนิคส์สะกดคำยากๆ ได้เลยตามที่โรงเรียนให้การบ้านมาในช่วงแรกของการเรียนโฟนิคส์ก็อาจดูยากเกินไปสำหรับลูก เช่น ลูกเพิ่งเรียนการผสมเสียงสระตัว “a” เช่นคำว่า bat, hat, rat, mat หากจะให้สะกดคำว่า January โดยหลักโฟนิคส์เลย คงยังทำไม่ได้

แต่ในระยะยาวเมื่อลูกเรียนจบและได้มีการฝึกอ่านอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าการเรียนโฟนิคส์จะช่วยส่งเสริมให้การอ่าน การสะกดคำต่างๆ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และสามารถเข้าใจหลักการออกเสียง การอ่านเขียนได้อย่างแท้จริง จึงมีบทวิจัยออกมาหลายสำนักว่าหลักโฟนิคส์ช่วยให้เรียนภาษาอังกฤษได้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วกว่านักเรียนทั่วไปถึง 2-3 ปี

หลักโฟนิคส์ เป็นหลักการอ่านเขียนที่เรียนกันมาตั้งแต่โบราณแล้ว แต่เมื่อราว 20-40 ปีที่ผ่านมาได้เลือนหายไป เนื่องจากมีทฤษฎีใหม่ที่บอกว่าการอ่านแบบโฟนิคส์นั้นยุ่งยาก กว่าจะแตกเสียง ผสมเสียง จนอ่านเป็นคำนั้นช้าไม่ทันใจ จึงหันมาใช้วิธีเรียนแบบจำคำศัพท์เป็นคำๆ ที่เรียกว่า Whole Language ดีกว่าเพราะเร็วกว่ากันเยอะ โรงเรียนในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย จึงเลิกสอนโฟนิคส์ไปตามๆ กัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายสิบปีกลับพบว่าความสามารถในการอ่านเขียนของประชาชนต่ำลง เพราะคนเรานั้นจดจำคำศัพท์ได้จำกัด และการไม่รู้หลักการสะกดนั้นก็ทำให้อ่านได้ไม่คล่อง เมื่อเห็นคำยากหรือคำใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่อยากอ่าน ทำให้การอ่านค้นคว้าความรู้ต่างๆ ลดลงตามไปด้วย จึงมีการฟื้นฟูการเรียนโฟนิคส์ให้นำกลับมาสอนอีกครั้งเพื่อให้เด็กๆ เข้าใจหลักการอ่านเขียนอย่างแท้จริง

การเรียนโฟนิคส์ถือว่าเป็นการเริ่มต้นสร้างทัศนคติที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียนตามหลักที่ถูกต้อง และจะช่วยพัฒนาการออกเสียงและการอ่านเขียนของเด็กๆ ได้อย่างมากในระยะยาว และสามารถต่อยอดไปสู่ทักษะอื่นๆ ที่สำคัญในอนาคต เช่น การเขียนเรียงความ เขียนบทความ การจับประเด็น จับใจความ คิดวิเคราะห์เนื้อหาอย่างเป็นเหตุผลด้วย

ถึงแม้โฟนิคส์จะเป็นความรู้และเป็นพื้นฐานที่ดีในการออกเสียงและการอ่านเขียน แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของทักษะภาษาอังกฤษทั้งหมด ดังนั้น นอกจากโฟนิคส์แล้ว คุณครูอย่าลืมปูพื้นฐานในเรื่องการฟัง การพูดภาษาอังกฤษของเด็กให้ดีควบคู่กันไปด้วย เพราะเป็นทักษะที่สำคัญไม่แพ้กัน และต้องการการฝึกฝนเป็นประจำสม่ำเสมอเพื่อให้ฟังพูดได้คล่องแคล่ว แตกฉาน มั่นใจ และความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละทักษะยังสามารถนำมาเชื่อมโยงต่อยอดกันและกันได้ด้วย ที่สำคัญ คุณครูต้องไม่ลืมว่าไม่ว่าจะเรียนอะไรก็ตาม เด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขาเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่ estrelaazul.net

Releated